Gaming Inside

เมื่อหนังคลาสสิก กลับมามีชีวิตอีกครั้ง…ในโลกของเกม

ผมเพิ่งกลับมาเล่น Robocop: Rogue City เกมที่หยิบเอาเรื่องราวจากภาพยนตร์คลาสสิกปี 1987 มาถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบวิดีโอเกม และที่น่าทึ่งก็คือ ทีมพัฒนาอย่าง Teyon ดันทำออกมาได้ดีมาก ๆ

ที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาประสบความสำเร็จกับการดัดแปลงหนังยุค 80 ก่อนหน้านี้ Teyon เคยสร้างชื่อมาแล้วกับ Terminator: Resistance (2019) ซึ่งหยิบเอา The Terminator (1984) มาทำเป็นเกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง และผลตอบรับก็ดีเกินคาด จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้พวกเขาสานต่อมายังโปรเจกต์ถัดไปอย่าง Robocop: Rogue City – Unfinished Business ที่กำลังจะวางจำหน่ายในวันพรุ่งนี้

หลังจากได้ลองเล่น Robocop สิ่งแรกที่ผมรู้สึกก็คือ มันให้ความรู้สึกแบบเดียวกับตอนเล่น Indiana Jones and the Great Circle เพราะทั้งสองเกมต่างก็หยิบเอาภาพยนตร์ระดับตำนานมาดัดแปลง และทำได้ดีทั้งในแง่เกมเพลย์ การเล่าเรื่อง รวมถึงการรักษากลิ่นอายของต้นฉบับเอาไว้ครบถ้วน ประหนึ่งว่าคุณกำลังชมภาคต่อ เพียงแค่มันมาในรูปแบบวิดีโอเกม และคุณได้ควบคุมตัวเอกเอง

ผมไม่ได้จะบอกว่า ทุกเกมที่หยิบหนังฮอลลีวูดมาดัดแปลงจะเวิร์กหมด แต่มันขึ้นอยู่กับวิธีการนำเสนอมากกว่า เพราะความท้าทายของผู้สร้าง ไม่ได้มีแค่การทำให้เกมสนุก แต่ยังต้องรักษาบรรยากาศ เนื้อเรื่อง และรายละเอียดสำคัญจากต้นฉบับไว้ด้วย เพราะสิ่งที่ผู้เล่นรัก ไม่ใช่แค่แอ็กชันหรือภาพสวย แต่คือความรู้สึกของการได้กลับไปสัมผัสโลกของหนังที่เขาผูกพัน

Robocop เวอร์ชันนี้ ไม่ใช่แค่เกมยิงแบบโง่ ๆ สมัยก่อนอย่าง Virtua Cop แต่มีระบบยิงที่สะใจ เควสต์ที่ออกแบบมาได้หลากหลาย ได้อารมณ์แบบ RPG หรือ Immersive Sim แถมยังให้คุณได้นั่งโต๊ะรับแจ้งความ เลือกตอบคำถามแบบมีผลต่อเนื้อเรื่อง และมีระบบ Reputation ที่เปลี่ยนไปตามทางเลือกของคุณอีกต่างหาก

ในฝั่งของ Indiana Jones ก็ไม่ต่างกัน พวกเขาออกแบบเกมเพลย์ให้เข้ากับสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังต้นฉบับ แม้เกมอาจไม่ถึงขั้นเป็น GOTY สำหรับผม แต่ก็ถือเป็นเกมที่เล่นได้เพลิน ๆ เหมาะกับการใช้เวลาเบาสมอง และดื่มด่ำกับเรื่องราวผจญภัยแบบคลาสสิก

สิ่งหนึ่งที่เกมทำได้ดีกว่าหนังภาคต่ออย่างชัดเจน คือเรื่องของ “การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เล่น” ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังให้ไม่ได้ Robocop เคยถูกรีเมกในปี 2014 และ Indiana Jones เองก็มีภาคใหม่ในปี 2023 แต่สำหรับผม ภาคต่อในรูปแบบภาพยนตร์ของทั้งสองแฟรนไชส์นี้ กลับยังไม่สามารถเรียกเสียงชื่นชมได้เท่ากับฉบับเกมเลยด้วยซ้ำ

เหตุผลสำคัญก็เพราะ เกมเปิดโอกาสให้เราได้ “มีส่วนร่วม” กับโลกของเรื่องราวนั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เหมือนหนัง และนั่นแหละคือจุดที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่า เกมสามารถทำหน้าที่เป็นภาคต่อที่ดีกว่าในบางกรณี

ผมคงดีใจไม่น้อย ถ้าหนังที่เรารักในอดีต จะถูกหยิบกลับมาทำเป็นวิดีโอเกมมากขึ้น เพราะมันไม่ได้เป็นแค่การย้อนความทรงจำ แต่มันคือการได้ใช้เวลาอยู่ในโลกที่เรารัก ในแบบที่จับต้องได้จริง ๆ

administrator
Art Director, UX/UI Designer, Voice Actor