รีวิวเกมครั้งแรกของเรา มาช้ามากเนื่องจากใช้เวลาในการสร้างเว็บไซต์นาน จากวันที่เกม Indiana Jones and the Great Circle วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม บน Xbox และ PC ชาว PS5 รอไปก่อนนะ เรามองว่ารีวิวนี้มันอาจจะต้องใช้พื้นที่เขียนเยอะ เลยขอมาลงในนี้ดีกว่า ผมได้เล่นเกมนี้จบไปเมื่อช่วงต้น ๆ มกราที่ผ่านมา เป็นเกมที่ผมจับตามอง เฝ้ารอที่จะได้สัมผัส และคิดว่าคงจะดีหากเราเขียนรีวิวพูดถึงมันแบบละเอียด ๆ
จุดสนใจของเกมนั้น ก็หนีไม่พ้นความเป็น Indiana Jones แฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่หลายคนต้องรู้จัก เป็นไอคอนิกของตัวละครเอกผู้ออกล่าหาสมบัติ โดยยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับแฟรนไชส์เกมดังอย่าง Tomb Rider และ Uncharted อีกด้วย เราคงจะไม่มานั่งถกกันแบบชาว Reddit เรื่องว่าอะไรดีกว่ากัน ผมว่ามนตร์เสน่ห์ของแต่ละเกมนั้นต่างกัน

ก่อนอื่นผมคงต้องบอกก่อนว่า ผมไม่เคยดู Indiana Jones มาก่อนเลย! ผมอาจจะชื่นชอบ Star Wars ชอบ Mad Max ผมโตมากับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่เป็นตำนานกล่าวขานจนถึงทุกวันนี้หลายเรื่อง แต่กลับ Indiana Jones ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมถึงไม่มีโอกาสได้ดูเลย เพียงแค่รู้จักจากความโด่งดังของนักแสดงของ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ฉะนั้นการเล่นเกม Indiana Jones ซึ่งเป็นเกมที่มีต้นแบบ 100% มาจากภาพยนตร์ในแฟรนไชส์นี้ ค่อนข้าง ‘ท้าทาย’ กลิ่นไอที่หลายคนคงมีจุดร่วมเดียวกัน ผมไม่ได้มีตรงนั้น แต่แน่นอนครับหลังจากเล่นจบมากกว่า 30 ชั่วโมง ผมก็ได้ซัดยาวตั้งแต่ภาค 1-5 แบบในแค่ 1 วัน เพื่ออยากเข้าใจกลิ่นไอภาพยนตร์ในยุคนั้น รวมไปถึงความเป็น Indiana Jones จริง ๆ
ผมอาจบอกไม่ได้ว่านี่สมกับการกลับมาในรอบหลายปีหรือไม่ แต่ผมรู้สึกได้ว่าเพียง 10 ชั่วโมงแรกในการเล่น ผมค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ มิติใหม่ ๆ เราอาจะรู้สึกค่อนข้างแปลกใจกับวิธีการนำเสนอผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่ง (FPS) กับเกมที่มีจุดเด่นเป็นเนื้อเรื่อง และระบบต่อสู้ของเกมไม่ได้เน้นไปที่การยิงต่อสู้กับศัตรูแบบเกม FPS ทั่วไป
การก้าวออกจากเส้นทางที่แตกต่างอย่างชาญฉลาด
วินาทีแรกที่ได้สัมผัสกับฉากในป่าของเกม ผมทราบภายหลังว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของซีนเปิดในภาค 1 ของภาพยนตร์ ความรู้สึกแรกของผมทำให้นึกถึงเกมเอาตัวรอดในป่าอเมซอนชื่อ ‘Green Hell’ ทำให้เรามองย้อนกลับไปถึงความรู้สึกอินมาก ๆ กับการเอาชีวิตรอดด้วยเงื่อนไขสมจริงสุดหิน ที่ต้องบริหารทุกอย่างประหนึ่งว่าเราอยู่ในป่าจริง ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่มันคือมุมมองแบบบุคคลที่ 1 ช่วยขับเคลื่อนความรู้สึกตรงนั้นได้ดี เหมือนกับเกมนี้ที่ผมรู้สึกแบบนั้น ในมุมมองของการเสพภาพยนตร์ เรามักจะเห็นมุมกล้องที่ถ่ายทอดว่าเราคือผู้คนที่นั่งดูเหตุการณ์นั้นอยู่ ใกล้ กลาง ไกล เราเป็นแค่ชาวบ้าน 4 ที่เฝ้ามองดูเท่านั้น แต่กับการเลือกเล่าเรื่องในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง มันดันเวิร์กมาก ๆ เหมือนเราได้สมบทบาทเป็น Indy จริง ๆ แววตาที่ตัวละครอีกฝั่งมองมาที่เรา พูดคุยตอบโต้กับเรา มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวละครมีชีวิตจริง ๆ ส่วนตัวผมดันชอบการเล่าเรื่องแบบนี้มากกว่าในภาพยนตร์เสียอีก

ผมเป็นคนไม่ถนัด First Person สักเท่าไหร่ ส่วนตัวชินกับการเล่นเกมในมุมมองบุคคลที่สามมากกว่า เพราะผมรู้สึกถึงความอึดอัดกับบางแอ็กชัน ต้องขอชมว่าจังหวะการปีนป่ายเกมนี้มีการทรานซิชันให้เป็นมุมมองบุคคลที่ 3 แทนเพื่อให้สอดคล้องกับการเล่นในบางจังหวะ และในคัตซีนเองการเลือกมุมกล้องเพื่อถ่ายทอดในบางซีนก็ถือว่าทำได้ดีมีความเป็น Cinematic เหมือนดูหนังจริง ๆ
ภาพรวมของเนื้อหาเกมทำออกมาได้ดี สถานที่ในเกมที่มีความหลากหลาย ที่เริ่มจากพื้นที่ในเมืองวาติกัน ทะเลทรายอันแห้งแล้งในอิยิปต์ สงครามโลกกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ สุโขทัย ฮิมาลัย และจบด้วยอิหร่าน คือเรียกได้ว่าสมกับเป็น Indy จริง ๆ ซึ่งแต่ในละสถานที่ไม่ใช่เพียงโลกแบบ Open-Zone ธรรมดา ๆ แต่บางจุดเป็นเพียงจุดผ่านของอีเวนต์เหตุการณ์สำคัญในเกม และที่ผมชอบอย่างหนึ่งคือ ก่อนหน้าที่เรายังต้องเดินเท้าอยู่ในทะเลทราย เรายังจะได้ขับเรือสำรวจพื้นที่ในสุโขทัยอีกด้วย การแก้ไขปริศนาในพื้นที่อารยธรรมโบราณที่ไม่ได้ยากและง่ายเกินไป แต่รูปแบบของปริศนาอาจดูซ้ำ ๆ บ้าง แต่รวม ๆ ยังคงมอบความสนุกให้เราได้
ความสำคัญหนึ่งของเกมคือระบบต่อสู้ (Combat) ดูจะเป็นภาพที่นึกออกยากมากเลยว่า สไตล์ภาพบุคคลที่หนึ่งจะทำระบบต่อสู้ออกมายังไง ในเมื่อเกมไม่ได้สนับสนุนให้ใช้ปืนขนาดนั้น จากการที่ไม่ได้มีกระสุนให้เยอะ ปืนที่ไม่ได้เก็บติดตัวได้ มีเพียงปืนสั้นที่มีกระสุนไม่กี่นัด แถมการยิงยังทำให้เสียเปรียบเรื่องการลอบเร้น เพราะเขาออกแบบมาให้เน้นการลอบเร้น ในเรื่องของการต่อสู้ที่เราจะได้วาดลวดลายการใช้หมัด ของผมเล่นที่โหมด Hard บอกเลยว่าค่อนข้างตึง แต่นั่นก็ทำให้เรารู้สึกสนุก มีการใส่ระบบ ปัดป้อง ตั้งการ์ด และหลบหลีก มันอาจจะไม่ได้หวือหวาสไตล์เกมต่อสู้ แต่ก็ใส่เงื่อนไขในความช้า Stamina ที่จำกัด และศัตรูก็ไม่ได้ยากหรือง่ายเกินไป
ข้อเสียน่าจะเป็นระบบลอบเร้น ที่มันคือเกือบจะ 70% ของเกมเลย ในพาร์ตการสำรวจเราก็จะต้องเจอกับกองทัพนาซีมากมาย ยังสามารถทำให้น่าสนใจมากกว่านี้ได้ เราลองเปรียบเทียบกับเกมลอบร้อนอื่น ๆ ที่ทำออกมาได้ดี และเสียดายที่เกมนี้น่าจะไปให้สุดมากกว่านี้ จุดหนึ่งที่ผมว่าทำได้ไม่ดีคือระบบ AI ทั้งศัตรูและ NPC ที่ดูไม่ค่อยสมจริง ทำให้อารมณ์ติดขัดในบางจังหวะ
การคงไว้ของมนตร์เสน่ห์แห่ง Indiana Jones

พูดถึงงานศิลป์ งานภาพและเสียง น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ผมชอบที่สุด ถึงแม้ว่าผมอาจไม่ได้ติดตามภาพยนตร์มาก่อน แต่ข้อนี้ผมตระหนักได้หลังจากย้อนดูทุกภาค พบว่าตัวเกมมันมีความเป็น Indiana Jones มากกว่าในภาพยนต์เสียอีก มีการย้อมโทนภาพให้ใกล้เคียงกับฟิล์มในยุคนั้น ตัวละครเอกที่ดูเป็น Indy จริง ๆ และที่น่าชื่นชมสุด ๆ คือเสียงนักพากย์ที่ทำได้ดีทั้งสำเนียง และบทที่มีความอารมณ์ขันสไตล์หนังในยุคนั้น ตัวละครทุกตัวดูมีชีวิตจริง ๆ กิมมิกหลายจุดที่ถูกถ่ายทอด โดยบางทีเราก็ไม่ทันสังเกต เอกลักษณ์หนึ่งของ Indy คือทุก ๆ ครั้งหมวกของเขาจะกลับมาหาเขาเสมอ ตรงนั้นถูกดึงมาตีความเป็นสกิลการฟื้นคืนชีพ ในจังหวะที่เรากำลังจะตาย หากเราคลานไปหยิบหมวกได้ เราจะฟื้นคืนชีพ และลุกขึ้นมาสวมหมวกเท่ ๆ อีกครั้ง และแน่นอนว่าเขาก็ยังคงไว้ซึ่งเสียงเพลงประกอบที่เหมือนต้นฉบับ ซึ่งในตอนที่ผมดูหนังผมค่อนข้างรำคาญเสียงเพลงนี้มาก เพราะในยุคนั้นมันอาจจะไม่ได้ละเอียดเท่ายุคนี้ เพราะมีการใช้ในจังหวะที่ไม่จำเป็นเยอะเกินไป แต่ในกับเกมนี้ผมว่าทำได้ดี เสียงเครื่องเป่ากับออร์เคสตามาในจังหวะที่ถูกต้อง
ผมค่อนข้างตะลึงกับงานภาพ ที่พอสืบทราบว่าเป็น Engine id Tech 7 ที่ใช้พัฒนา Doom Eternal มาก่อน ซึ่งเกมนี้น่าจะเป็นเกมแรกที่ได้ทดสอบประสิทธิภาพของเอนจิน ในมุมการทำภาพในป่าได้ดีมากกว่าที่คิด แต่ข้อเสียเล็ก ๆ ที่ผมสัมผัสได้คือ ตาของตัวละครมันมีการขยับที่ไม่เนียน ปกติตาคนเราไม่ได้ขยับมองไปมาเร็วขนาดนั้น เกมที่เป็นเนื้อเรื่องที่เราจะเป็นคัตซีนเยอะ ๆ จุดนี้ก็มีผล

ในงานภาพผมขอติเมืองสุโขทัย ที่ทำการบ้านมาน้อยเกินไป แน่นอนครับว่าถ้าผู้สร้างไม่ใช่คนไทย ก็คงทำแบบเป๊ะ ๆ ไม่ได้ แต่ผมไม่ได้คาดหวังความเป๊ะขนาดนั้น เพราะมันไม่ตรงกันตั้งแต่ภูมิศาสตร์ของพื้นที่แล้ว มันมีเพียงตัวละคร NPC และสถาปัตยกรรมบางส่วนที่พอรับได้ คือถ้ามองดี ๆ นึกว่าอเมซอนที่เป็นลักษณะป่าฝนเขตร้อนที่เขียวตลอด จริง ๆ แล้วในปี 1937 ของสุโขทัยเราจะเห็นว่ามันเป็นป่าเบญจพรรณมีไม้ผลัดใบ จะออกแล้ง ๆ ผสมกัน ไม่ได้เต็มไปด้วยพรรณไม้ และไม่ได้มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแม่น้ำ ซึ่งตรงนี้ค้นคว้าได้ง่าย ๆ ใน Google
จุดที่น่าเสียดายคือ Interface ในหน้าภารกิจทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ ขาดการดีไซน์ให้เข้าใจง่าย และในด้านความสวยงาม ในเวลาการเล่น 30 กว่าชั่วโมง พบกับปัญหาทางเทคนิคค่อนข้างน้อย อาจพบกับบั๊กบ้างเล็กน้อย ไม่ส่งผลต่อการเล่น